World Of Warcraft, WoW Pointer 14

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2558

2015 Team and Rider line-up




Repsol Honda Team
Bike: Honda RC213V
Riders: Marc Marquez (93) / Dani Pedrosa (26)



แข็งแกร่งดังภูผา

สำหรับขุมกำลังของทีม Repsol Honda ทั้งตัวรถ RC213V ที่น่าจะดีที่สุดใน พ.ศ. นี้ ขณะที่ 2 นักแข่งชาวสเปนของทีมก็มีทั้งนักแข่งอัจริยะดีกรีแชมป์โลก 2 สมัยติดอย่าง Marc Marquez และ Dani Pedrosa นักแข่งแถวหน้าประสบการณ์สูงที่ถึงแม้พักหลังผลงานอาจจะดูไม่ค่อยโดดเด่น เท่าไหร่ แต่ก็ใช่ว่าความเก่งกาจจะลดลงไปซะทีเดียว ฝีไม้ลายมือของเจ้ามาเควซเป็นที่ประจักษ์และยอมรับกันทั่วยุทธภพแล้วว่าเป็น กระบี่มือ 1 ณ เวลานี้ งานหนักเพียงอย่างเดียวของรถเบอร์ 93 ก็คือการรับศึกหลายด้าน ทั้งจากเพื่อนร่วมทีมเองก็ด้วยและ 2 คู่แข่งตัวฉกาจจากทีมยามาฮ่า เผลอๆจะมีตัวแถมจากดูคาติโผล่เข้ามาแจมอีกต่างหาก ทางด้านเพรโดซ่าที่ชนะไป 1 สนามในปีที่แล้ว มีหน้าที่อย่างเดียวคือเค้นฟอร์มเก่งของตัวเองออกมาให้ได้พร้อมยึดพื้นที่บน โพเดี่ยมให้ได้อย่างสม่ำเสมอ ถ้าต้องการให้ความฝันที่จะเป็นนักบิดหมายเลข 1 ของโลกกลายเป็นความจริงให้ได้



เจ้า MM93 มีบ่นเล็กน้อยกับรถปี 2015 ว่าไม่ค่อยชอบในการทดสอบช่วงหลังปิดฤดูกาล แต่เสียงของเจ้ามะขวิดดังและมีพลังมากๆในตอนนี้ คงเป็นหน้าที่ของวิศวกรจาก Honda ที่จะต้องปรับแต่งรถให้ตามที่เจ้าตัวต้องการ

Movistar Yamaha MotoGP
Bike: Yamaha YZR-M1
Riders: Jorge Lorenzo (99) / Valentino Rossi (46)



ราชาทวงบัลลังค์

ยามาฮ่าปล่อยให้ค่ายปีกนกโชว์เหนือมาแล้วถึง 2 ปีติด ป๋าลินบอกว่าถึงเวลาที่เราต้องเอาคืนแล้วล่ะ ฤดูกาลนี้ถึงแม้จะเป็นการทิ้งทวนการพัฒนารถบนกฏปัจุบันก่อนที่จะมีการ เปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในปีหน้า แต่เชื่อว่า Yamaha คงต้องใส่แบบเต็มสูบอย่างทั้งฤดูกาล โดยเฉพาะถ้าต้องการโค่นคู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่าง MM93 ทุกอย่างต้องมาตามนัด และมีข้อผิดพลาดให้น้อยที่สุด

ทั้ง JL99 กับ VR46 ยังอยู่กับทีมต่อไปอย่างน้อยอีก 2 ปี เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของอมยิ้มคือต้องการเพิ่มจำนวนแชมป์โลกในกระเป๋าของ ตัวเองขึ้นไปอีก แต่สิ่งสำคัญคือต้องรักษาฟอร์มและความมั่นใจเหมือนในช่วงท้ายของฤดูกาลที่ แล้วเอาไว้ให้ได้ ส่วนคุณหมอรอสซี่ที่ขี่ได้ดีแบบสะใจวัยเก๋าแทบทั้งฤดูกาลในปีที่แล้ว ก็มั่นใจสุดๆว่าฟอร์มของตัวเองดีมากๆ เผลอๆดีกว่าสมัยที่คว้ามแชมป์โลกมานอนกอดเสียอีก เพียงแต่ว่ามีเจ้า MM93 มาเป็นตัวแปรเพิ่มเท่านั้น ถึงไม่สามารถคว้าแชมป์โลกมาครองได้

ล่าสุดทีมได้เปิดตัวรถแข่งปีนี้ของทีมไปเป็นที่เรียบร้อยที่กรุงมาดริด เมืองหลวงของประเทศสเปน ฐานทัพของผู้สนับสนุนหลักอย่าง Movistar



รวมพลัง ปราบไอ้มะขวิดกันเถอะ


ยามาฮ่ายังต้องพัฒนารถ YZR-M1 ให้ดีขึ้นในอีกบางจุดเพื่อให้นักแข่งของตนสามารถคว้าชัยชนะได้มากขึ้น เช่นระบบ seamless transmission ที่ยังทำได้ไม่สมบูรณ์แบบเท่ารถของฮอนด้า จากบทสำภาษณ์ล่าสุดของ Kouichi Tsuji หัวหน้าทีมวิศวกรของ Yamaha บอกว่าเกียร์บ๊อกตัวใหม่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ที่ต้องใช้เวลานานก็เพราะ Yamaha พัฒนาเทคโนโลยีนี้ตามแบบของตัวเองและต้องการการทดสอบอย่างละเอียดโดยเฉพาะ เรื่องความปลอดภัย ซึ่งคาดว่าน่าจะพร้อมสำหรับทดสอบที่เซปังครั้งที่ 2

Ducati Team
Bike: Ducati Desmosedici GP15
Rider: Andrea Dovizioso (04) / Andrea Iannone (29)



The new desmocedici

หลังการเข้ามาของ Gigi บอสใหญ่ของทีมดูคาติ เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างภายในค่ายยักษ์ใหญ่สีแดง ผลงานของทีมเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่องว่างเมื่อเทียบกับรถจากสองโรงงานหัวแถวลดลงอย่างมีนัยยะ สัญญาณบวกมีออกมาเรื่อยๆ การได้สิทธิ์ในการทดสอบและพัฒนาเครื่องยนต์ระหว่างฤดูกาล ทำให้การพัฒนารถทำได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อทุกอย่างลงตัวขึ้นเรื่อยๆบวกกับผลงานของทีมที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ทีมสามารถเก็บนักแข่งหลักของทีมอย่าง Dovisozo เอาไว้ได้ การได้น้องโจที่ปรับตัวกับการขี่รถดูคาติได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลที่แล้ว ขึ้นมาร่วมทัพทีมใหญ่ ถือว่าเป็น line-up ที่ลงตัวอีกคู่หนึ่ง รถ Desmosedici GP15 จะเป็นรถใหม่คันแรกภายใต้การออกแบบของ Gigi Dall'Igna ถึงแม้ตัวรถจะเสร็จสมบูรณ์ช้ากว่าแผนเดิม (ไม่ทันการทดสอบที่เซปัง 1 แต่น่าจะทันการทดสอบครั้งที่ 2 ในช่วงปลายเดือน) แต่การเริ่มต้นโดยรอให้ทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ ถึงแม้จะล่าช้าไปบ้าง แต่การเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องเท่านั้น ถึงจะก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกันกับ Honda หรือ Yamaha ได้


เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน


โดวิปรับสไตล์การขี่ของตัวเองให้เข้ากับรถได้แล้ว รวมถึงรถใหม่ก็น่าจะถูกออกแบบมาในรูปแบบที่เค้าถนัดด้วย ผลงานในปีที่แล้วถือว่าค่อนข้างหน้าพอใจ ถึงแม้ว่าในบางสนามจะหลุดห่างออกไปจากกลุ่มนำพอสมควร เมื่อรถดีขึ้นเชื่อว่ารถเบอร์ 04 น่าจะเกาะอยู่กับกลุ่มผู้นำได้ตลอดทั้งการแข่งขัน ทางด้านของน้องโจ ไม่มีปัญหาเรื่องความเร็ว เพราะแสดงให้เราได้เห็นแล้วในปีที่ผ่านมา แต่ที่ต้องพัฒนาอย่างด่วนก็คือการลดข้อผิดพลาด โดยเฉพาะการล้ม เพราะบางครั้งเป็นการล้มที่ไม่จำเป็นทำให้พลาดผลการแข่งขันที่ควรจะได้รับ จริงๆถือเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างท้าทายเหมือนกัน เพราะในปีหน้าเค้าจะเป็นนักแข่งทีมโรงงานเต็มตัว ความคาดหวังจากดูคาติที่เพิ่มขึ้น นั่นหมายถึงแรงกดดันที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน


อิตเลี่ยนล้วนๆครับ

เป้าหมายของดูคาติในปีนี้ขึ้นการขึ้นไปเบียดตำแหน่งบน Podium อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการวางเป้าไปที่ชัยชนะสนามซักครั้ง ดูจะไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินจริง ถ้าหากรถปีหน้าพัฒนาขึ้นไปได้อีก 1 ขั้นจากที่ทำได้ในปีที่แล้ว

Team Suzuki MotoGP
Bike: Suzuki GSX-RR
Riders: Aleix Espargaro (41) / Maverick Vinales (25)



The Story Restart

ทีมคนบ้าสีน้ำเงินจากฮามามัตซึหวนกลับคืนสู่ศึก MotoGP อีกครั้ง หลังจากว่างเว้นไปถึง 3 ปี การกลับมาครั้งนี้ดูเผินๆแล้ว ก็เหมือนจะจริงจังอยู่พอสมควรถ้าดูจากการลงทุน ทั้งในเรื่องของทีมงาน ตั้งแต่ระดับผู้บริหาร นักแข่งไปจนถึงทีมช่าง แต่ช่วงเวลาที่ร้างลาไปดูเหมือนจะโดนทีมอย่าง Honda กับ Yamaha ได้พัฒนาหนีไปไกลมากๆ จากเดิมทีก็ตามหลังอยู่แล้ว ถ้าหาก Suzuki ต้องการที่จะกลับมาชนะการแข่งขัน งานหนักที่รออยู่พอๆกับการปีนข้ามยอดเขาเอฟเวอร์เรสเลยทีเดียว เพราะในยุคของรถ 4 จังหวะตั้งแต่ปี 2002 Suzuki ชนะการแข่งขันแค่เพียงครั้งเดียว แถมยังเป็นการแข่งท่ามกลางสายฝน

ซูซูกิใช้เวลาในการพัฒนารถ Prototype ด้วยเครื่องยนต์แบบใหม่ถึง 2 ปี ซึ่งถือว่าค่อนข้างนาน ทีมพยายามไปทดสอบหลายๆสนามทั้งในและนอกยุโรป รวมถึงสนามที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ๆด้วย แต่มีหลายครั้งที่ทำการทดสอบไม่ได้เต็มที่เนื่องจากสภาพอากาศเช่นที่อาร์เจน ติน่าหรือออสเตเรีย ซึ่งบทสรุปก็คือรถของ Suzuki ยังตามหลัง 3 โรงงานหลักอยู่พอสมควร แค่เป้าหมายแรกที่ต้องพัฒนารถ GSX-RR ให้ขึ้นไปต่อกรกับรถของ Ducati ได้ก็อาจจะต้องใช้เวลาอย่างเร็วก็ต้องครึ่งฤดูกาล


GSX-RR


แต่การกลับมาครั้งนี้ ที่ทำได้ดีในอย่างแรกดูเหมือนจะเป็นคู่ line-up ของนักแข่ง เพราะทั้ง AE41 และ MV25 ล้วนแต่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นของอาชีพนัดบิดทั้งคู่ Espargaro ผู้พี่ที่ดูจากโพรไฟล์แล้วอาจจะด้อยกว่านักบิดแถวหน้าหลายคน แต่จากผลงานที่เค้าทำได้ตอนอยู่กับทีม Aspar และ Forward ถือว่าทำได้ดีมากๆ ถ้าเทียบกับประสิทธิภาพของรถ ความเร็วของนักแข่งเบอร์ 41 ไม่ได้ห่างจากกลุ่มหัวแถวมากนัก ที่สำคัญคือความมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเอง เพราะนี่จะเป็นโอกาสแรกที่ได้ทำงานร่วมกับทีมโรงงาน ขณะที่ Maverick Vinales แชมป์โลก Moto3 ปี 2012 ที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในการขยับขึ้นมาแข่งในรุ่นโมโตทูในปีที่แล้ว โดยเฉพาะในช่วงท้ายฤดูกาล ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องของพรสวรรค์ เป็นนักแข่งที่เรียนรู้ได้ไว ไม่แน่ใจว่าเงื่อนไขในการคุยกันไปคลิกที่ตรงไหน ถึงทำให้ Suzuki สามารถโน้มน้าวให้เค้ามาอยู่กับทีมได้ เพราะถ้าทีมสามารถพัฒนารถให้สามารถขึ้นไปสู้กับโรงงานหัวแถวได้ นักแข่งคนนี้อาจจะนำความสำเร็จมาสู่ทีมได้อีกเยอะเลย


รถเราจะไหวป่าววะวิน?


ทุกคนเห็นตรงกันว่ารถของซูซูกิยังห่างจาก Honda หรือ Yamaha ค่อนข้างมาก จากผลงานของนักขับทดสอบอย่าง Randy De Puniet ทั้งในการทดสอบตลอดปี 2014 และการลงแข่งขัน Wildcard ที่บาเลนเซีย แต่ดูเหมือนระยะห่างของเจ้า GSX-RR กับ RC213V หรือ YZR M1 จะลดลงมาสมควร เมื่อทั้ง Aleix และน้องวินได้ทำการทดสอบรถหลังปิดฤดูกาล มี 1 วันที่เวลาของ AE41 ห่างจากรถของ MM93 อยู่ที่ 1 วินาที ในสภาวะที่สภาพที่รถไม่สมบูรณ์ 100% (ต้องจำกัดรอบเครื่องยนต์) และนักแข่งเพิ่งจะมาจับรถได้แค่ 3 วัน แต่ปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นกลับเป็นเรื่องเสถียรภาพของเครื่องยนต์ซะอีก ที่ไม่รู้ทดสอบกันอีท่าไหนตลอดช่วงปีกว่าๆ ไม่เคยเจอปัญหานี้กันเลย เลยเป็นการบ้านใหญ่ให้วิศวกรที่โรงงานต้องหางทางแก้กันอย่างเร่งด่วนตลอด ช่วงฤดูหนาวและควรจะรู้สาเหตุก่อนการทดสอบที่เซปัง เพื่อที่จะได้หาวิธีแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องในช่วง 2 เดือนก่อนเปิดฤดูกาลสนามแรก

จุดอ่อนที่สำคัญของ Suzuki น่าจะอยู่ที่ระบบ Electronics โดยเฉพาะการที่ทีมต้องเปลี่ยนจาก ECU ของ Mitsubishi ที่ใช้งานมาตลอดมาเป็นของ Magneti-Marelli ตามกฏของ Dorna เหมือนที่ทีมอื่นๆใช้กัน เลยต้องมาปรับ code กันใหม่หมด ทีมยักษ์ใหญ่อย่าง Honda มีวิศวกรซอร์ฟแวร์ระดับหัวกะทิเดินชนกันอยู่ภายในทีม บวกกับงบประมาณที่เทลงไปมหาศาลในส่วนนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่ Suzuki จะทำได้แบบนั้น แถมในฤดูกาลหน้าทุกทีมก็จะต้องเปลี่ยนไปใช้ Standard ECU แบบ Full option จึงไม่สมเหตุสมผลที่ทีมจะทุ่มเทในการพัฒนาซอร์ฟแวร์ของตัวเองแบบหนักๆ ถึงแม้ว่าทีมโรงงานใหม่อย่าง Suzuki และ Aprilia จะได้รับสิทธิพิเศษ สามารถพัฒนาซฟอร์ฟแวร์ได้ตลอดทั้งฤดูกาลก็ตาม (ในขณะที่ 3 โรงงานหลักจะต้องหยุดพัฒนาหลังจากช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป) แต่เชื่อว่าทั้ง 2 โรงงานคงพัฒนาในส่วนของการปรับปรุงและแก้ปัญหามากกว่าที่จะไปเร่งพัฒนาฟี เจอร์ใหม่ๆ โดยงานหลักๆที่ทีมกำลังเร่งทำอยู่ก็คงจะเป็นการพัฒนาซอร์ฟแวร์ให้รองรับระบบ Seamless transmission ที่กำลังทดสอบอยู่ในตอนนี้

Factory Aprilia Gresini
Bike: Aprilia RS-GP
Riders: Alvaro Bautista (19) / Marco Milandri (33)



New adventure Aprilia

Aprilia ขยับโปรแกรมเร็วขึ้นมาก่อนกำหนดเดิม 1 ปี รถ Prototype คันใหม่ของ Aprilia ยังคงพัฒนาตามแผนเดิม ซึ่งจะเสร็จสมบูรณ์สำหรับฤดูกาล 2016 รถในปีนี้เลยเป็นเวอร์ชั่นอัพเกรดของรถ ART ปัจุบัน โดยมีการปรับปรุงในส่วนของเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลังรวมไปถึงการปรับปรุง chassis แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากการอัพเกรดอย่างเต็มที่แล้ว อย่างมากก็น่าจะทำให้รถของทีมอยู่เหนือรถ Open แค่นิดๆ ซึ่งแค่นี้ก็ไม่ง่ายแล้วเพราะรถ Open ของทั้ง Honda, Yamaha หรือกระทั่ง Ducati ในฤดูกาลนี้สเปคไม่ได้ต่างจากรถโรงงานมากเหมือนที่ปีที่แล้ว

การมาจับมือทีมกับ Gresini ที่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องในช่วงหลังๆ ก็เลยเป็นความร่วมมือแบบน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ประสบการณ์ของทีม Gresini อาจจะมีชั่วโมงบินสูงในโมโตจีพี แต่ที่ผ่านมาก็ทำงานกับรถของ Honda มาตลอด แถมการทำงานก็เป็นการทำงานแบบทีมซัพพอร์ต ที่หลักๆคือการปรับแต่งรถให้นักแข่งจากสเปคที่โรงงานให้มา ไม่ใช่การพัฒนารถ ดังนั้นรูปแบบการทำงานอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนค่อนข้างเยอะ ในปีแรกน่าจะเน้นไปที่การพัฒนารถเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นบททดสอบใหม่ของของทีม Gresini ด้วย การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างยังไงก็ต้องใช้เวลา แถมรถแต่ละโรงงานก็มีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันไป เราเลยน่าจะดูเรื่อง Progress ของตัวรถมากกว่าผลการแข่งขันในปีนี้



จอมกวาด


คู่นักแข่งของทีมเป็นคู่หูที่เชื่อว่าแฟนๆโมโตจีพีหลายๆคนอาจต้องซี๊ดปาก หรือสูดหายใจลึกๆ ต้องหายาดมยาหม่องมาทาโดยด่วน ตามแต่สไตล์ความชอบของแต่ละคน เพราะทั้ง Alvaro Bautista (จอมกวาด) และ Macro Milandri (ไอ้รถถัง) ต่างมีผลงานในอดีตที่โดดเด่นในเรื่องการการชนและการล้ม ห้า ห้า แต่ดูเหมือน Aprilia เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับสรรพคุณอันสุดยอดของนักแข่งของตนเอง ทางทีมยังคงมีลุง Max Biaggi กับ Michael Liverty มาเป็นนักขับทดสอบและช่วยพัฒนารถอีกแรง ดังนั้นจำนวนรอบในสนามแข่งที่อาจจะน้อยกว่าที่ควรจะเป็น น่าจะไม่สร้างปัญหาในการพัฒนารถ Prototype คันใหม่ของทีม อิอิ (Michael Liverty เป็นนักแข่งสำรองด้วย)


ไอ้รถถัง

แต่ส่วนตัวยอมรับในฝีมือของพี่เบานะ ในวันที่องค์ลงเนี่ย สร้างปัญหาในกับกลุ่มหน้าได้พอสมควรเลยล่ะ เหมือนกัน Aprilia ไม่ต้องทำอะไรมาก สวดมนต์ขอพรให้ไม่ล้ม เดี๋ยวผลงานดีๆก็ตามมา ห้า ห้า อีกทั้งประสบการณ์ที่เค้ามีกับ Suzuki และ Honda น่าจะช่วยทีมได้พอสมควร ขณะที่ Milandri ปีที่แล้วก็ทำผลงานได้ดีใน SBK แต่ในช่วงทดสอบรถหลังปิดฤดูกาล ดูเหมือนอาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวในส่วนของยางอีกพักนึง

CWM-LCR Honda
Bike: Honda RC213V/ RC213V-RS
Riders: Cal Crutchlow (35) / Jack Miller (40)



จี๊ดจ๊าด

ถือว่าเป็นทีมเรียกแขก เรียกนักข่าว ที่สุดใน Paddock ของ MotoGP ปีนี้เลยก็ว่าได้ สำหรับทีม CWM-LCR Honda การมาอยู่กับทีมของ CC35 ที่ถูกจับตามองอย่างหนักในช่วง 2 ปีหลัง เลยหางานมาให้ทีมของ Lucio Cecchinello อย่างไม่มีทางเลือก โจทย์เบอร์หนึ่งของเฮียคลัชต่ำ น่าจะเป็นแฟนๆโมโตจีพี (คาดว่าที่คอยเชียร์กับที่คอยแช่งน่าจะพอๆกัน) ในเรื่องของฝีไม้ลายมือ ไม่ใช่ว่าไม่เก่ง ถือว่าเป็นนักแข่งที่เก่งคนนึงเลยล่ะ แค่ตอนที่ย้ายจาก Tech3 ไปอยู่กับดูคาติ เฮียแกไปพูดไว้เยอะไปหน่อยทั้งในส่วนของฝีมือของเค้าที่ควรจะได้ขี่รถโรง งาน(พาดพิง Yamaha) รวมไปถึงการคาดหวังกับรถสีแดงคันใหม่ทั้งๆที่ทุกคนก็รู้กันอยู่ว่ารถของดูคา ติตอนนั้นเพิ่งจะเริ่มพัฒนาใหม่


แสบ 1

ช่วงแรกที่ดูคาติ คาลพยายามที่จะปรับรถให้เค้ากับสไตล์การขี่ของเค้ามากกว่าจะปรับสไตล์การขี่ ของตัวเองให้เข้ากับตัวรถ ทำให้ทำผลงานได้ด้อยกว่าเพื่อนร่วมอย่างโดวิทีมอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับยังมีการให้สัมภาษณ์พาดพิงไปที่ตัวรถอีก ทำให้ทาง Ducati course ไม่ค่อยพอใจนัก บวกกับในช่วงของการต่อสัญญา ที่ตอนแรกเจ้าตัวเลือกที่จะอยู่กับดูคาติต่อในปีนี้ แต่สุดท้ายก็ยกเลิกสัญญาและเลือกย้ายมาอยู่กับ LCR Honda แทน เล่นเอาหลายๆคนงงกันไปตามๆกัน

แต่ยังดีที่ในช่วงท้ายฤดูกาลที่เริ่มทำงานผลงานได้ดีขึ้นจากการที่เค้ายอม เปลี่ยนสไตล์การขี่ เลยน่าจะเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้พอสมควร แต่ก็มิวายโดนค่อนขอดอีก 1 กระทงว่าความอดทนน้อยไปหน่อยรึเปล่ากับช่วงเวลาที่ย้ายไปอยู่กับ Ducati เพราะพอเลือกที่จะย้ายออกจากทีม รถฝั่งนู้นก็ดูเหมือนจะดีขึ้นแบบก้าวกระโดด ในช่วงนี้ตกเป็นจำเลยอยู่ในสถานะที่ว่า ทำอะไรก็ผิด อิอิ ต้องรอดูว่าเจ้าตัวจะปรับตัวให้เข้ากับรถ RC213V ได้มากน้อยแค่ไหน และทำได้เร็วเพียงใด แน่นอนว่าผลงานของเค้าจะยังคงถูกจับไปเทียบกับนักแข่งของทีม Ducati อย่างแน่นอน

ส่วนคู่หูเพื่อนร่วมทีมอย่าง ไอ้แจ๊ค Jack Miller ก็เป็นที่สนอกสนใจไม่แพ้กัน สำหรับนักบิดหนุ่มวัย 19 ชาวออสเตเรีย กับการก้าวขึ้นมาขี่รุ่นพรีเมียร์จากรุ่น Moto3 แถมได้เซ็นสัญญาตรงกับ HRC ระยะเวลายาวถึง 3 ปี ซึ่งดีลนี้ ลุงนากาโมโตะซังก็ยังยอมรับว่าเสี่ยงพอๆกับการเอาเงินไปเหมาล็อตเตอรี่แบบ เกลี้ยงแผงเลยทีเดียว แถมลีลาการให้สัมภาษณ์ของเจ้าตัวก็เรียกแขกได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจากเป็นเด็กที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง พูดตรงๆไม่อ้อมค้อมและกวนทีนไม่ใช่น้อยๆ


แสบ 2

การตัดสินใจครั้งนี้ของทั้ง Honda และไอ้แจ็คเองถูกวิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ไม่มีใครสงสัยในความสามารถของเด็กคนนี้ แต่ฝีมือของนักแข่งใน MotoGP มันต่างจาก Moto2 หรือ Moto3 ค่อนข้างเยอะ การขยับขึ้นไปโดยที่ยังไม่พร้อมอาจจะส่งผลต่อการพัฒนาของเจ้าตัวได้ ความแข็งแกร่งของร่างกายหรือความแตกต่างของตัวรถอาจจะไม่ใช่ปัญหาหลักและ สามารถเตรียมตัวหรือเรียนรู้ได้ภายในระยะเวลาไม่นานนัก แต่ประสบการณ์ในการแข่งขันกับคู่แข่งที่เก่งๆ อย่างเช่นนักแข่งหัวแถวในรุ่น Moto2 เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจำเป็นสำหรับการขยับขึ้นมาในรุ่นพรีเมียร์

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ใช่ว่าแนวทางนี้จะประสบความสำเร็จไม่ได้ เพราะบนโลกนี้ไม่ได้มีสิ่งที่ถูกต้องหรือเหมาะสมเพียงแค่สิ่งเดียวเสมอไป เราอาจจะเห็นไอ้แจ็คสร้างสีสันในโมโตจีพีในปีนี้หรือปีหน้าเลยก็ได้ แต่อย่างว่า ความเสี่ยงสูงก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงเช่นกัน มีไพ่แค่ 2 หน้าให้ออกสำหรับดีลนี้คือทำผลงานออกมาดี หักปากกาเซียน หรือโดนรุมตื๊บถ้าหากผลงานล้มเหลว

Estrella Galicia Marc VDS Team
Bike: Honda RC213V
Riders: Scott Redding (41)



ทีมน้องใหม่

Scott Redding จะได้แข่งโดยใช้รถ Prototype ของ Honda ตามที่ตั้งใจ หลังจาก Honda ได้ทีม Estrella Galicia Marc VDS พันธมิตรคู่ใหม่ มารับไม้ต่อจาก Gresini ในการสู้ศึก MotoGP ด้วยรถ RC213V แต่ดูเหมือนงานยากจะรอเค้าอยู่ในฤดูกาลหน้า ปัญหาแรกที่เจอคือการหาหัวหน้าช่าง เนื่องจาก Cristian Gabbarini อดีตหัวหน้าช่างของ Casey Stoner คนที่ Redding อยากได้มาทำงานให้ ถูกส่งตัวไปเป็นหัวหน้าช่างให้กับ Jack Miller ที่ทีม LCR เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ Crew chief เดิมที่เคยร่วมงานกันในรุ่น Moto2 ก็ต้องดูแล Tito Rabat ต่อไป ขณะที่สเปคก็ค่อนข้างจะจำกัดว่าต้องเป็นคนที่คุ้นเคยกับรถของ Honda มาก่อนด้วย เพราะทีมเป็นทีมใหม่ สุดท้ายหวยเลยไปออกที่ Chris Pike อตีตหัวหน้าช่างของ Jonathan Rea ในฝั่ง WSBK ที่ทำงานกับ Honda มายาวนานแต่ไม่มีประสบการณ์ในโมโตจีพีเลย ซึ่งคงจะเป็นเรื่องแปลกถ้าเป็นเมื่อก่อน แต่ Rossi ได้ใช้ทฤษฏีนี้ ด้วยการดึง Silvano Galbusera จากฝั่ง WSBK มาทำงานกับเค้าในปีที่แล้วและทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในปีนี้ เลยทำให้น้องแดงเลือกที่จะเดินรอยตามบ้าง


Men in Black


ทีมอาจจะต้องใช้เวลาในปรับจูนทีมงานใหม่ๆเข้าหากันก่อนในช่วงแรกๆ ก่อนที่ Honda จะเริ่มเข้ามากดดันถ้าหากผลงานยังสู้กับทีมคู่แข่งตัวเป้งอย่าง Tech3 ของ Yamaha ไม่ได้ในช่วงปลายๆฤดูกาล Mark VDS ใช้เวลา 3-4 ปีก้าวขึ้นมาประสบความสำเร็จเป็นทีมแถวหน้าในรุ่น Moto2 ซึ่งเชื่อว่าทีมใหม่ทีมนี้น่าจะต่อสู้กับ Tech3 ได้อย่างสูสี อย่างช้าก็น่าจะในฤดูกาลหน้า

Monster Yamaha Tech 3
Bike: Yamaha YZR-M1
Riders: Pol Espargaro (44) / Bradley Smith (38)



2 มอนสเตอร์เตรียมอาละวาด

ทีมเล็กของ Yamaha ไม่มีการเปลี่ยนแปลงภายในทีมในเรื่องของนักแข่ง Pol Espargaro กับ Bradley Smith ยังเป็น 2 นักบิดของทีม ปีนี้ Yamaha น่าจะคาดหวังกับผลงานของ Pol เป็นหลัก โดยเฉพาะอันดับ 5 ในตารางคะแนน ที่ต้องต่อสู้กับ CC35 และ SR41 จากฝั่ง Honda โดยในปีนี้ Yamaha น่าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เพื่อให้น้องพล มีโอกาสได้ลุ้นขึ้นไปยืนอยู่บนโพเดี่ยมบ้าง สัญญาของ Pol Espargaro กับ Yamaha จะหมดลงในฤดูกาลนี้ ขณะที่ไม่มีพื้นที่ว่างในการาจน์รถโรงงาน Yamama สำหรับเค้าอย่างน้อยก็จนถึงสิ้นปี 2016 แต่เนื่องด้วย Pol เป็นคลื่นลูกใหม่เพียงไม่กี่คนของยามาฮ่า ยังไงพี่แยมก็ต้องรักษานักแข่งของตนเอาไว้ ด้วยรถที่ดีเท่านั้นที่น่าจะรักษาความมุ่งมั่น แรงจูงใจและความจงรักภักดีต่อยามาฮ่าจากน้องพลเอาไว้ได้


คู่หูคู่เดิม


ขณะที่ Bradley Smith ต้องถือว่าเป็นโอกาสสุดท้ายของเค้าที่จะพิสูจน์ตัวเอง สมิธไม่มีปัญหาในเรื่องของความเร็ว โดยเฉพาะการทำเวลาในรอบ Qualify ที่เค้าทำได้ค่อนข้างโดดเด่น แต่ในการแข่งขัน เค้าต้องการความสม่ำเสมอรวมไปถึงลดความผิดพลาดเช่นการล้มให้น้อยลง รวมถึงการเก็บคะแนนให้ได้สม่ำเสมอกว่านี้ โครงสร้างของ MotoGP จะเปลี่ยนไปในปีหน้า ถือว่ายังโชคดีที่เจ้าเหม่งยังได้แข่งต่อในปีนี้ เพราะถ้าหากทำผลงานได้ดีในปีนี้ น่าจะทำให้โอกาสในปีหน้าเปิดกว้างมากขึ้น
Pramac Racing
Bike: Ducati Desmosedici GP14.2 / Ducati Desmosedici GP14.1
Riders: Yonny Hernandez (68) / Danilo Petrucci (9)



Getting Better

Pramac Racing ทำผลงานได้ค่อนข้างดีในฤดูกาล 2014 แต่การเสีย Andrea Iannone ซึ่งเป็นขุมกำลังหลักให้กับดูคาติทีมใหญ่ไม่เพียงแต่จะเสียนักแข่งฝีมือดี แต่น่าจะทำให้ระดับการช่วยเหลือจากดูคาติลดลงไปด้วย Pramac จะได้รถ GP14.2 จากดูคาติสำหรับ Yonny Hernandez และ GP14.1 สำหรับ Danilo Petrucci



ลุยกันนะเงาะ


เป้าหมายของทีมในฤดูกาลหน้าน่าจะเป็นการขึ้นมาไล่ตามรถทีมเล็กของ Honda และ Yamaha ให้ทัน(ซักที) โดยเฉพาะ YH68 ที่พัฒนาฝีมือขึ้นมาพอสมควร จะเป็นนักแข่งหลักของทีมจะต้องแบกรับหน้าที่นี้ (แต่เจ้าตัวจะต้องพลาดการทดสอบรถที่เซปังในครั้งแรกอาทิตย์หน้า เพราะไปพลาดล้มในการเตรียมร่างกายเมื่อาทิตย์ที่แล้ว ในเบื้องต้นคาดว่าน่าจะใช้เวลาในการพักฟื้นราวๆ 3 สัปดาห์และน่าจะลงทดสอบรถที่เซปังครั้งที่ 2 ในช่วงปลายเดือนหน้าได้) ในช่วงสนามแรกๆน่าจะแค่ขึ้นไปเกาะอยู่ท้ายกลุ่มกลางๆ แต่ถ้ามีการอัพเกรดรถตามมาอย่างต่อเนื่อง ก็ไม่แน่ว่าเราอาจจะเห็นรถของพาร์แมคไล่บี้รถจากทีม Tech3 หรือ LCR ได้ในช่วงท้ายฤดูกาล

ขณะที่น้องเงาะ Danilo Petrucci ถือว่าทำได้ผลงานได้น่าประทับใจมากๆกับการลงขี่รถ Prototype ครั้งแรกในช่วงการทดสอบรถหลังปิดฤดูกาลการที่บาเลนเซีย เป็นอีกนักแข่งที่น่าจับตามองในปีนี้ เพราะหลายๆคนเชื่อว่าเด็กน้อยคนนี้มีฝีมือไม่ธรรมดา เพียงแต่รถที่เค้าขี่ในรุ่น CRT ยังไม่ใช่อาวุธที่จะทำให้เค้าแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาได้ ทางทีมได้ออกมาชมออกสื่อว่าเจ้าเงาะเป็นนักแข่งที่แข็งแกร่งในการใช้เบรค และรถ Desmo ของดูคาติก็โดดเด่นในเรื่องนี้อยู่แล้ว เชื่อว่า DP9 จะดึงศักยภาพของรถออกมาให้แฟนๆได้ร้องอื้อฮือกันอย่างแน่นอน แต่ที่เจ้าเงาะต้องการก็คงไม่ต่างจากนักแข่งรุ่นพี่ทุกคนคือเวลาในการปรับ ตัว โดยเฉพาะรถของ Ducati  นักแข่งแถวหน้าอย่างโดวิหรือเอียนโนเน่ต้องใช้เวลาถึง 1 ฤดูกาลในการปรับตัวเลยทีเดียว

Drive M7 Aspar
Bike: Honda RC213V-RS
Riders:  Nicky Hayden (69) / Eugene Laverty (50)



ก๊อก 2

เฮียนิคกี้ค่อนข้างผิดหวังกับรถ Open ของฮอนด้าในฤดูกาลที่แล้วเนื่องจากเจ้าตัวคาดหวังในตัวรถมากกว่านี้พอสมควร ฤดูกาลหน้าน่าจะเป็นฤดูกาลตัดสินอนาคตของเจ้าตัวว่าจะเลิกหรือไม่เลิก RC213V-RS ควรจะดีขึ้นแบบเห็นได้ชัด (ได้แล้ว) แต่ด้วยอายุอานามที่เพิ่มขึ้น บวกกับฝีมือของพวกเด็กๆรุ่นใหม่ในปีนี้ก็เก่งๆกันหลายคน ซึ่งการขี่อยู่กับกลุ่มกลางตารางนี่เป็นอะไรที่คาดเดาได้ยาก ส่วนตัวคาดว่าคิดว่าเฮเด้นก็คงจะไม่ได้โดดเด่นมากในเรื่องของผลการแข่งขัน เจ้าตัวน่าจะประเมิณผลงานของตัวเองจากเป้าหมายส่วนตัวเป็นหลักแต่เป้าหมาย หลักก็คงจะเป็นการจบฤดูกาลด้วยอันดับสูงสุดของนักแข่ง Open ของ Honda


NH69 ทดสอบ Honda RC213V-RS


ตามทฤษฏี รถแข่งปี 2016 จะรวมกันเป็นกฏเดียวและสเปคไม่ต่างกันมากเหมือนก่อนหน้านี้ ถ้าในปีนี้ Heyden พอใจกับระดับการขับขี่ของตัวเองและไม่มีปัญหาอาการบาดเจ็บจากการล้ม เจ้าตัวก็คงเลือกที่จะขี่ต่อในปีหน้าเพราะยังคงสนุกอยู่กับการแข่งโมโตจีพี และทาง Dorna และ Honda America เองก็คงพยายามโน้มน้าวให้เค้าแข่งต่อให้ได้ เพราะถ้าเลิกไป จะไม่เหลือนักแข่งจากแดนลุงแซมในจีพีเลย เสือเฒ่า Colin Edwards ก็เพิ่งรีไทร์ไปฤดูกาลที่แล้ว แถมตอนนี้เป็นยุคที่นักแข่งแดนมะกันฝีมือดีขาดแคลนสุดๆ (รวมไปถึงทางญี่ปุ่น) เนื่องจากการแข่งขันในประเทศ (AMA) มีปัญหาโดยเฉพาะการพัฒนานักแข่งรุ่นใหม่ เพิ่งจะมีการรื้อระบบกันไปสดๆร้อนๆ ซึ่งก็ต้องใช้เวลาอีกซักพักนึง กว่าที่ดาวรุ่งจะก้าวขึ้นมาทดแทนได้


สมาชิกใหม่ของทีม


ในส่วนของ Eugene Laverty ถึงแม้เจ้าตัวจะเคยแข่งในรุ่น 250cc มาก่อน แต่งานในปีหน้าก็ไม่ต่างจากการเริ่มเรียนรู้ใหม่จากศูนย์โดยเฉพาะที่เกี่ยว กับตัวรถหรือยาง ถ้าในช่วงท้ายฤดูกาลนักแข่งชาวไอริชสามารถเอาชนะเพื่อนร่วมทีมได้บ้างในบาง สนาม ก็น่าจะถือว่าสอบผ่านสำหรับปีแรก

Cardion AB Motoracing
Bike: Honda RC213V-RS
Rider: Karel Abraham (17)



Turning point

น่าจะเป็นปีที่ดีของไอ้หนุ่มเบอร์ 17 จากสาธารณะเช็ค(ซะที) สำหรับปี 2015 หลังจากที่มีหลายเรื่องหลายราว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข่าวไม่ค่อยดีถาโถมเข้ามาตลอดช่วง 2-3 ปีหลัง ปีที่แล้วเจ้าคาราเมลเปลี่ยนมาใช้รถ Open ของ Honda ที่ประสิทธิภาพยังไม่ค่อยดีนัก แต่มีหลายๆสนามที่เค้าทำผลงานได้ค่อนข้างดี สภาพร่างกายเริ่มกลับมาฟิตสมบูรณ์อีกครั้ง ด้วยรถ RC213V-RS เวอร์ชั่นใหม่ กอรปกับความมั่นใจที่เริ่มกลับมา คาเรลน่าจะสามารถจบการแข่งขันในอันดับเลขตัวเดียวได้หลายครั้งในฤดูกาลนี้ ปีนี้อาจจะเป็นปีที่นักแข่งเบอร์ 17 ที่มีความฝันอยากจะทำงานด้านการผลิตอาวุธสงครามคนนี้ สามารถพิสูจน์ตัวเองให้แฟนๆโมโตจีพีได้เห็นว่าเค้าดีพอที่จะอยู่ในโมโตจีพี ถึงแม้จะเริ่มต้นการแข่งเพราะพ่อรวยก็เถอะ



NGM Forward Racing
Bike: Forward Yamaha
Rider: Stefan Bradl (6) / Loris Baz (76)



เก่าไป ใหม่มา

Forward Racing เสียนักแข่งคนสำคัญของทีมอย่าง Aleix Espargaro ไปให้กับ Suzuki แต่การได้ Stefan Bradl นักแข่งชาวเยอรมันมาขี่แทนก็ถือว่าได้ตัวแทนที่ฝีมืออยู่ในระดับเดียวกัน ส่วนของนักแข่งเบอร์ 2 ของทีมอย่าง Loris Baz ที่เป็นรุกกี้และมีประสบการณ์ใน GP เป็นศูนย์ แต่ความเร็วของเค้าก็ค่อนข้างน่าสนใจ เป็นนักแข่งอายุน้อยที่วิ่งอยู่ในแถวหน้าในฝั่ง WSBK มีแนวโน้มที่จะพัฒนาได้ค่อนข้างไว เว้นเสียแต่จะทำตัวมีปัญหากับเพื่อนรวมทีมเหมือนที่ทะเลาะกับ Tom Skyes ในทีมโรงงาน Kawasaki ในฝั่ง SBK ปีที่แล้ว


นักบิดเยอรมัน กับเบียร์นุ่มๆและรถ Open ของ Yamaha


ทีมตัดสินใจเลือกใช้รถจาก Yamaha (Frame, Engine, Swing arm) + Unified software และได้ยุติแผนการพัฒนาเฟรมรถของตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งจะเป็นแพคเกจเดียวกันกับที่ Aliex ใช้ในปีนี้ แต่ยังไม่ชัดเจนว่ารถ YZR-M1 ปี 2014 จากทีม Tech3 หรือยังคงเป็นรถปี 2013 เหมือนปีที่แล้ว ในส่วนของระบบ Suspension ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปใช้ของ Kayaba ตามที่ Yamaha อยากให้ใช้ เพราะนักแข่งไม่เอาด้วย แน่นอนว่าเป็นรถ Forward Yamaha เป็นรถที่ประสิทธิภาพสูงคันนึง


รุกกี้


Stefan Bradl อาจจะกลับมาทำงานผลงานได้ดีอีกครั้ง ถ้าหากเค้าปรับสไตล์การขี่ของตัวเองเข้ากับรถของ Yamaha ได้ไว เป้าหมายที่ต้องเป็น Top ของรถ Open ในปีนี้อาจจะไม่ใช่งานที่ง่าย แต่แรงกดดันก็ยังน้อยกว่าในปีสองปีที่เจ้าตัวโดนกดดันจากทาง Honda ส่วนน้องโย่งที่เป็นรุกกี้แบบจริงๆจังๆ เพราะไม่เคยแข่งอย่างเป็นทางการใน MotoGP ทุกรุ่น ทีมน่าจะให้เวลาในการทำความคุ้นเคยและปรับตัวเข้ากับรถและสนามของ MotoGP เสียก่อนในครึ่งฤดูกาลแรก ก่อนที่จะวัดผลกันจริงๆในช่วงครึ่งหลัง แต่เป้าหมายของเค้าในฤดูกาลนี้ น่าจะวัดที่จำนวนคะแนนที่เก็บได้ว่าใกล้เคียงกับรถคันอื่นๆในรุ่น Open ได้แค่ไหน

Avintia Racing
Bike: Ducati Desmosedici GP14 Open
Riders: Hector Barbera (8) / Mike di Meglio (63)



เปลี่ยนค่าย ย้ายฐาน

Avintia เปลี่ยนรถจากเดิมทีที่ใช้ฐานของรถ Kawasaki SBK ZX-10R ที่จูนเครื่องยนต์โดยบริษัท Akira Engineering ในฝรั่งเศส มาเป็นรถ Desmosedici ของดูคาติ ซึ่งจะเป็นรถ GP14 ที่เปลี่ยนแค่ ECU เป็นตัว Unified software โดย Hector Barbera ได้เปลี่ยนมาใช้รถของดูคาติมาตั้งแต่ก่อนจบฤดูกาลที่แล้วและทำผลงานได้ดี มากๆ ด้วยการพัฒนารถของ Ducati ทำได้ค่อนข้างดีในปีที่แล้ว ทำให้ในฤดูกาลหน้า HB8 น่าจะได้ขับเคี่ยวกับรถ Open จากโรงงานอื่นทั้ง Honda และ Yamaha อย่างสมน้ำสมเนื้อ ขณะที่ Ducati เองก็จะได้ข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงรถสำหรับ Unified software ในฤดูกาล 2016 น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ถูกที่และถูกเวลาและ win-win ทั้งคู่สำหรับการเปลี่ยนรถในครั้งนี้



พี่เข้มน่าจะตั้งเป้าหมายจบฤดูกาลด้วยอันดับตัวเดียวเป็นเป้าหมายสูงสุด ส่วนเป้าหมายรองก็คือชนะรถ Open ของ Yamaha กับ Honda ให้ได้บ้างก็น่าจะโอเค ส่วนน้องไมค์ คงต้องดูว่าปีนี้หลังจากที่รถดีขึ้น แรงจูงใจ พลังในการแข่งขันจะเหลืออยู่มากน้อยแค่ไหน เพราะที่ผ่านมาอยู่ในกลุ่มบ๊วยมาตลอด

Octo ioda racing
Bike: Aprilia ART
Rider: Alex de Angelis (15)



กิมบ๊วย

ถือว่าเหนือความคาดหมายพอสมควรเลยทีเดียว ที่ทีม Octo ioda racing ยังคงอยู่ใน MotoGP หลังจากทีมมีปัญหาเรื่องงบประมาณในการทำทีมอย่างหนักในปีที่แล้ว ทั้งนี้น่าจะด้วยความช่วยเหลือของ Dorna เป็นหลัก ทีมจะใช้รถของ Aprilia ในการแข่งขันเหมือนเดิม วิเคราะห์แบบผิวเผิน Aprilia น่าจะให้ความช่วยเหลือทีมระดับนึง อาจจะให้ทีม ioda เป็นหนูทดลอง ช่วยพัฒนารถไปอีกแรง ทีมยังไม่มีข่าวเรื่องผู้สนับสนุนรายใหม่ออกมา ด้วยงบประมาณที่มีจำกัด ฝีมือของนักแข่งและรถจาก Aprilia ที่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นจะพัฒนาขึ้นมาได้เยอะแค่ไหน ดูแล้วก็คงรั้งท้าย ได้ขี่อยู่คนเดียวบ่อยๆแน่ๆ หวังแค่ว่าช่องว่างจะไม่ห่างจากรถ Open ของ Yamaha, Honda และ Ducati จะไม่มากจนเกินไป

สัปดาห์หน้า (4-7 กุมภาพันธ์) จะมีการทดสอบอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่เซปัง โดยในวันที่ 7 จะเป็นการทดสอบยางมิชลินที่จะใช้ในปี 2016 โดยนักแข่งทดสอบ Honda กับ Yamaha ได้เริ่มทดสอบรถปีนี้ไปตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว ขณะที่เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ทาง Yamaha และ Honda ที่มีบักหินมาช่วย ก็เป็นทัพหน้าเริ่มทำการทดสอบรถที่เซปังไปแล้ว



ึถึงจะไม่กลับมาแข่งแล้ว แต่ผมก็ยังสนุกกับการขี่อยู่นะครับ


การทดสอบครั้งแรกน่าจะเป็นการทดสอบรถหลังจากที่มีการปรับปรุงหรือแก้ไขตามคำ แนะนำของนักแข่งจากการทดสอบรถหลังปิดฤดูกาลที่บาเลนเซียปีที่แล้ว Yamaha อาจจะมีการทดสอบระบบ Seamless transmission ตัวใหม่ ทีม Ducati จะใช้รถ GP14.3 ในการทดสอบครั้งนี้ เนื่องจากรถใหม่ยังไม่พร้อม (แต่น่าจะพร้อมสำหรับการทดสอบครั้งที่ 2) Suzuki น่าจะทดสอบเรื่องสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่เจอปัญหาเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว และระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก ขณะที่ Aprilia ก็จะเป็นการทดสอบเครื่องยนต์ใหม่ (pneumatic valve) ที่พัฒนาต่อยอดมาจากเครื่องยนต์ V4, seamless transmission และ chassis ตัวใหม่ของรถ RS-GP

ในส่วนของทีม Satellite นักแข่งที่เปลี่ยนรถใหม่อย่าง CC35, SR41, DP9 จะได้ทำความคุ้นเคยกับรถให้มากขึ้น ส่วน YH68 ที่จะพลาดการทดสอบครั้งนี้ ทาง Ducati จะใช้บริการ Michele Pirro นักแข่งทดสอบทีมดูคาติลงทำการทดสอบแทน ทีม Tech3 น่าจะลุยในส่วนของการเซ็ตอัพ ขณะที่นักแข่งของทีม Forward ก็คงทำความคุ้นเคยกับรถให้มากขึ้น นักแข่งที่ใช้รถ Open ของ Honda จะได้ใช้รถใหม่ ขณะที่

อนึ่งในส่วนของทีมงาน Akira ยังคงมีการทดสอบรถ Prototype ที่ใช้เครื่องยนต์ของ Kawasaki ของตัวเองต่อที่เฆเรส พร้อมกับการทดสอบรถฝั่ง WSBK เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ โดย Kenny Noyes แชมป์ Spanish Super bike และ Dominique Aegerter  นักแข่งแถวหน้าในรุ่น Moto2 ถึงแม้ว่าจะไม่มีทีมแข่งใช้รถของตัวเองแล้วก็ตาม เลยทำให้เกิดข่าวลือกันอย่างหนาหูเกี่ยวกับเตรียมตัวหวนคืนเวทีโมโตจีพีของ โรงงานสีเขียวอย่าง Kawasaki บ้างก็ลือว่าที่เลือกทดสอบพร้อมกับ WSBK ก็เพื่อที่จะให้สื่อสารกับวิศวกรจาก Kawasaki ได้ง่าย


Dominique Aegerter


แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าการทดสอบนี้ดำเนินการโดย Akira (ซึ่งบริษัทนี้ใกล้ชิดกับคาวาซากิ เพราะรถ WSBK ทีมโรงงานของคาวาก็จูนเครื่องยนต์ด้วยทีมงานนี้) ซึ่งปีที่แล้วพัฒนารถและเครื่องยนต์ให้กับทีม Avintia โดยทีมงานได้ออกมาเปิดเผยว่าการทดสอบครั้งนี้ทาง Kawasaki ไม่มีเอี่ยวด้วย โดยทางบริษัทต้องการที่จะรู้ว่าขีดจำกัดของรถคันนี้จะอยู่ที่ตรงไหน และทาง Akira ก็ยังหวังว่าในอนาคตจะมีทีมลูกค้ามาใช้รถของทีมในการลุยศึก MotoGP ทั้งนี้ทาง MCN สื่อจากทางอังฤกษบอกว่าตัว chassis ที่ใช้เป็นรถ ZX-RR ปี 2008 ของคาวาซากิ

ข้อมูลเพิ่มเติมก็คือในอีกราวๆ 3-4 เดือนทีมจะได้ chassis ตัวใหม่ในการทดสอบ ถึงแม้ข้อมูลที่ชัดเจนจะออกมาแล้วว่ายังไม่มีการขยับตัวของ Kawasaki แต่อย่างใด แต่ในเบื้องลึกเบื้องหลังแฟนๆก็อดที่จะมโนไม่ได้ว่า เฮ้...พี่เขียวไม่มีส่วนรู้เห็นจริงๆเหรอ ล่าสุดยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องดื่ม Energy Drink ก็ได้เซ็นสัญญาเป็นผู้สนับสนุนหลักให้กับทีมโรงงาน Kawasaki ในศึก WSBK ซึ่งก็ไม่แน่ว่าทีมจะมีเงินเหลือเจียดมาลองอะไรขำๆ (อันนี้ก็มโนเอาเอง 555) เพราะในฝั่งของ KTM ที่ล่าสุดได้ดึงตัว Mike Leitner อดีตหัวหน้าช่างของ Predosa ที่ทำงานกับ Honda มาอย่างยาวนานไปร่วมทัพในการเตรียมพร้อมสำหรับการสู้ศึก MotoGP ในปี 2017 ซึ่งก็ชัดเจนแล้วว่าทาง KTM เอาจริงกับโปรเจคนี้


ขุมกำลังใหม่ของ KTM


นั่นแปลว่าเราจะมีอย่างน้อย 6 โรงงานใน MotoGP ในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งก็ไม่แปลกใจถ้าหากลึกๆในใจของวิศวกรจาก Kawasaki อยากจะกระโดดร่วมวงเข้ามาด้วย แต่ทางผู้บริหารคงจะคิดอีกอย่าง แฟนๆอย่างเราก็ได้แต่รอจับตาดูต่อไป

ขอบคุณสำหรับข้อมูลจาก
www.motogp.com
www.crash.net
www.speedweek.com
http://motomatters.com/
www.motorcyclenews.com
www.gpone.com/en
www.pantip.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น