World Of Warcraft, WoW Pointer 14

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

แล้วอะไรมีผลกับการแข่งขันมั่ง?

แล้วอะไรมีผลกับการแข่งขันมั่ง?
1. รถ
หลายๆทีมมีคาแรคเตอร์ประจำรถเป็นของตนเอง นั่นเป็นเพราะการออกแบบเชิงวิศวกรรมที่ต่างกัน เช่น เรื่องเครื่องสูบเรียงกับเครื่อง V ใครเคยขี่ NC30 กับ CBR400 คงเข้าใจว่ามันต่างกันชัดเจนครับ สรุปง่ายๆดังนี้

>> Honda: RC213V ตัวนี้ออกแบบเป็น V4 สูบ ไว้กินชาวบ้านทางตรง เพราะข้อดีคือได้แรงปลายครับ ด้วยฐานล้อที่ยาวเพราะข้อจำกัดของเครื่อง V เลยทำให้การเข้าโค้งอาจไม่ได้ง่ายเหมือนเจ้าอื่น แต่ถ้า MotoGP จัดแข่ง Drag Bike ละก็ ผมว่าแชมป์โลกคือ Honda
รถ Honda ถือว่าเป็นรถที่มีมรรถนะดีเลิศ ขี่ไม่ยาก และอาจดีที่สุดในหลายปีที่ผ่านมา (ถ้าดีจริงต้องได้แชมป์สิ เสียงแว่วๆจากแฟนแยม) เหมือนกับที่ Rossi บุรุษผู้เคยควบมาหลายยี่ห้อรวมทั้งเจ้า RC211V มาแล้ว ได้กล่าวชม Stoner ว่า "The best rider on the best bike" แปลเป็นไทยว่า นักแข่งที่ดีที่สุดอยู่บนรถที่ดีที่สุด (เอ้าฟังดูงงกว่าเดิม)

>> Yamaha: YZR M1 ออกแบบเป็นสี่สูบเรียง เพื่อลดระยะฐานล้อ ทำให้ได้วงเลี้ยวที่แคบกว่า แต่ทางตรงต้องทำใจนิดนึง เพราะจากสถิติแล้ว Maximum Speed ของสนาม แม้แต่ Lorenzo ยังตามหลังทั้งรถ Honda และ Ducati บ่อยครับ แต่ข้อดีของเครื่องสูบเรียงคือได้แรงต้นครับ Lorenzo จึงใช้การได้เปรียบนี้ ทิ้งระยะห่างระหว่างออกตัว ตลอดจนถึงช่วงเข้าออกโค้ง  ด้วยฐานล้อที่สั้นกว่าชาวบ้านทำให้ในบางครั้ง เรียกว่าแทบจะสามารถขี่ตีคู่ไปกับคันอื่นในไลน์ไม่ปกติได้เลย เช่นกัน ถ้า MotoGP จัดแข่งยิมคาน่า ผมว่า Yamaha น่าจะได้ อิอิ
คนที่สามารถขับเจ้า M1 ได้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาครับ ต้องเป็นเด็กแนว ผสมกับมีความ Art ในตัวสูง เช่น Rossi (มีสไตล์ตั้งแต่สีรถ สีชุดละ) , Lorenzo (มีสไตล์โดยเฉพาะเมื่อแข่งจบ แล้วได้ที่ 1), Crutchlow (ตาคนนี้ให้สัมภาษณ์ได้ตลกมาก)

>> Ducati: Desmos GP13 เป็นเครื่อง V สี่สูบของดูคาตี้เช่นกัน ลักษณะนิสัยจะคล้ายกับ Honda ครับ Ducati ถือเป็นรถปราบเซียนอย่างหนึ่ง เพราะน้อยคนนักที่จะเอาเจ้านี่อยู่ แต่บางครั้งถ้าเข้าฝักละก็ อาจเร็วกว่าชาวบ้านแบบไม่เห็นฝุ่นอย่างที่ Stoner เคยทำไว้ตอนปี 2008 เคยได้ยินมาว่า Italian Style เน้นปรับคนเข้าหารถนะจ๊ะ รถเค้าดีอยู่แล้ว


การจุดระเบิด (Firing Order) ปกติหลักๆมีใช้ 2 แบบคือ Screamer และ Big Bang
>> Screamer มีให้เห็นอยู่ทั่วไปตามท้องตลาดครับ เสียงนุ่มๆ เพราะจุดระเบิดทีละสูบ มี 4 สูบก็จุดไป 4 ครั้งต่อหนึ่งรอบ เครื่องยนต์ที่เป็นแบบนี้จะให้รอบจัด จึงให้แรงม้าสูง ความเร็วสูง และเครื่อง Smooth เมื่อก่อน MotoGP ใช้กัน
>> Big Bang เป็นการจุดระเบิดทีละสองสูบ เสียงเหมือนรถสองสูบครับ ข้อดีคือให้แรงบิดมหาศาล (อัตราเร่งดีนั่นเอง) แต่รอบเครื่องจะต่ำลง Top Speed และ ความ Smooth ลดลง เครื่องสั่นมากขึ้น
นำมาใช้ครั้งแรกโดย Michale Doohan เจ้าของตำนานแชมป์โลก 5 สมัยของ Honda โดยในตอนนั้น เครื่อง Big Bang ใน NSR500 ได้สร้างปรากฏการณ์สะเทือนวงการด้วยการคว้าแชมป์ถึง 5 สนามจาก 7 สนามแรก ปัจจุบัน Big Bang ใช้กันเกลื่อนใน MotoGP

ส่วนของ YZRM-1 จะเป็นแบบ Cross Plane ซึ่งมีหลักการจงใจไม่ให้ smooth ซึ่งคล้ายๆแบบ Big Bang ครับ ผมขอรวมไว้ใน Big Bang ด้วยละกันนะครับ Yamaha ถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ลง R1 เรียบร้อย และหวังว่าจะได้เห็นในรุ่นอื่นๆในอนาคตครับ

2. ยาง
เป็นปัจจัยอันดับต้นๆที่ทำให้ผลการแข่งขันออกมาดีหรือไม่ดี
นอกเรื่องนิดนึง หลายคนอาจสงสัยว่ายางใหญ่ เอาไว้ทำอะไรกันแน่ครับ เห็นใส่กันใหญ่จริงๆ
หลักๆยางหลังที่หน้ากว้าง ไว้รับแรงบิดมหาศาลเป็นหลักครับ ส่วนการรับแรงหนีศูนย์ตอนเข้าโค้งเป็นรอง ยกตัวอย่าง รถ Drag Bike (ของต่างประเทศ ไม่ใช่แวนซ์บ้านเรานะ) ใช้หน้ายางกว้างมากๆ ทั้งที่ไม้ได้ไปเข้าโค้งที่ไหนเลย

 ก่อนนั้น มีผู้ผลิตยางหลายทีมร่วมการแข่งขันอยู่ เช่น Dunlop, Michelin, Bridgstone เป็นต้น แต่ใครจะรู้ว่ามันอาจทำให้ผลการแข่งขันต่างกันชัดเจน
ภายหลัง ทางรายการจึงเหลือผู้ผลิตยางเพียงผู้เดียวคือ Bridgstone เพื่อเหตุผลด้านการแข่งขัน ความปลอดภัย และ งบประมาณครับ

การเลือกยางเป็นอะไรที่ซีเรียสมาก เลือกผิด ยางหมด ขับไม่เป็นท่าแน่นอนครับ เพราะสมัยนี้การขี่ให้ตรงไลน์อย่างเดียวดูจะไม่เร็วนัก ต้องพยายามเบรกลึกๆ drift นิดๆ แบบรถโมทาร์ตถึงจะเร็วครับ ปัญหายางผมขอยกตัวอย่างสนาม Le Mans ล่าสุด Lorenzo ซึ่งมีปัญหายางหลัง ขับได้ช้ามากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ที่แซง Pedrosa กับ Stoner ในรอบแรกแล้วหายไปกับสายลมเลย ทั้งๆที่ฝนตกเหมือนกัน

การร่วมมือกันระหว่างทีมแข่งกับผู้ผลิตยางคือ ทางผู้ผลิตยางจะส่งวิศวกรมาประจำทีมในแต่ละสนามแบบสุ่มครับ สำหรับการเลือกยาง โดยปกติก่อนแข่งทางผู้ผลิตยางจะมีข้อมูลสถิติของยางตามสภาพสนามครับ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของนักแข่งคนนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการขับขี่ในช่วง FP QP ลักษณะ feeling ของนักขับ ก็ถือว่ามีความสำคัญมากเหมือนกัน


ยางมีหลายแบบตามระดับการยึดเกาะ(Grip) เช่น Soft, Medium, Hard การเลือกยางที่ถูกต้องควรจะสมดุลกันระหว่างการยึดเกาะ (Grip) กับความทนทาน (Endurance) ครับ (ขออินเตอร์มั่งนะจ๊ะ) ยกตัวอย่าง ยาง Soft ให้การยึดเกาะที่ดี แต่หน้ายางอาจไปเร็ว รอบท้ายๆอาจจะกลายเป็นโตเกียวดริ๊ฟ เป็นต้น

เพิ่มเติมครับ ยางเหล่านี้มีอายุการใช้งานที่สั้นมาก โดยเฉลี่ยถูกออกแบบให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและเจ๊งภายในระยะประมาณ 120 km ซึ่งครอบคลุมการแข่งขันสนามหนึ่งๆ

พูดถึงการออกแบบที่แปลกๆ เนื่องจากส่วนใหญ่สนามที่ใช้แข่ง จะมีจำนวนโค้งซ้ายกับโค้งขวาไม่เท่ากัน และยิ่งจำนวนต่างกันมากๆ ขอยกตัวอย่างสนาม Germany ที่มีโค้งขวา 3 แต่โค้งซ้ายมีตั้ง 10 ดังนั้นเพื่อไม่ให้นักแข่งรู้สึกแตกต่างระหว่างเข้าโค้งซ้ายและขวาในรอบ ท้ายๆ การใช้ส่วนผสมยางที่แตกต่างกันระหว่างหน้ายางด้านซ้ายและขวา (Dual-Compound Slick Tyre) จึงถูกนำมาใช้ในการแข่งขันระดับโลกนี้ด้วยครับ สำหรับปีนี้ทาง Bridgestone ได้ทดลองนำมาใช้ไปทั้งหมดสองสนามแล้วครับซึ่ง Sachsenring ถือเป็นสนามที่สอง


 3. นักแข่ง
อันนี้แน่นอนครับ รถดี นักแข่งก็ต้องดีด้วยครับ นักแข่งปัจจุบันที่น่าจับตามองมีดังนี้ครับ
- Jorge Lorenzo
- Dani Pedrosa
- Marc Marquez
- Cal Crutchlow
- Valentino Rossi
ไล่กันไปทีละคนเลยนะครับ

 Jorge Lorenzo (Spain)
Team: Yamaha Factory Racing Team
Bike: Yamaha YZR-M1
แชมป์โลก Motogp 2 สมัย (2010, 2012) เคยผ่านการประลองมาแล้วทั้งตัวเก๋าอย่าง Rossi สมัย FIAT Yamaha และ คู่หูมหาโหดของ Honda,  Stoner และ Pedrosa เขาคนนี้แหละ คือฝันร้ายของ Honda HRC ตลอดหลายปีที่ผ่านมา (โดยเฉพาะปีที่แล้ว) และอาจเป็นอีกอย่างน้อย 1 ปี เพราะสัญญาของเขากับแยมจะหมดลงในสิ้นฤดูกาล 2014 ครับ

แต่ถ้าพูดถึงคนที่เป็นคู่กัดตลอดกาล ก็คงต้องยกให้พ่อหนุ่มร่างเล็ก Dani Pedrosa เพราะทั้งคู่ฟัดกันมาตั้งแต่รุ่น 125 ซีซี และ 250 ซีซี ในตอนนั้นดูเหมือนจะเป็น Pedrosa ที่นิ่งกว่า แต่สำหรับตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไป  Lorenzo มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และทนรับความกดดันจากการแข่งขันได้ดีขึ้น ทำให้ Jorge กลับประสบความสำเร็จในรุ่น MotoGP มากกว่า

Lorenzo เป็นนักแข่งฝีมือดีครับ ผมว่าดีที่สุดในขณะนี้แล้วครับ (เอาใจแฟนแยมหน่อย ฮิ้ววว) ที่สำคัญปัจจุบันเป็นนักแข่งที่ล้มยากด้วยครับ เป็นคนที่พลาดยากมากคนหนึ่ง (ยกเว้นสนามเปียกกับตอนเจ็บนะ) ขี่ในสนามเปียกแฉะได้ดีพอสมควร (Le Mans ปีที่แล้ว นำห่างเหมือนใช้สูตรโกง)  ขับขี่ทำเวลาได้คงเส้นคงวาดีครับ ชอบเป็นคนขี่นำ มีสมาธิจากการขี่นำมากกว่า แต่จะรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องขี่ตามคนอื่น แต่ถ้าต้องขี่ตามมักจะแซงให้จบๆไป ซึ่งในบางครั้งเราจะเห็นแกแซงแบบ เบียดๆไลน์กับคันอื่นเล็กน้อย นั่นคือแกรีบแซงจริงๆครับ ดังนั้นถ้าเห็นแกขี่ตามใครแล้วไม่แซงซักที ก็แปลว่าสุดๆของแกแล้วครับ  เส้นทางการคว้าแชมป์เมื่อปีที่แล้ว ทำได้อย่างสวยงามครับ เพราะได้แต่ที่ 1 กับ 2 ในทุกสนามที่จบการแข่งขัน ส่วน 2 สนามที่แข่งไม่จบนั้นล้มเพราะคนอื่นครับ จุดแข็งเหล่านี้แหละครับที่ผมยังเชื่อว่าปีนี้เขามีโอกาสจะได้แชมป์อีก

ในปีนี้ตอนแรกสถานการณ์กำลังดีแล้วเชียว แต่แกพลาดดันมาล้มไหปลาร้าหักที่ Assen แต่ถึงกระนั้นก็ยังแข่งอีก ล้มอีก ต้องคอยดูหลังจากกลับมาแข่งสนามหน้า Indianapolish ว่าแกจะฟื้นได้แค่ไหน ถ้าดีถือว่าเส้นทางแชมป์ยังพอมีหวังครับ (ถ้าสนามหน้าล้มอีกผมคงจะขอให้เค้าบวชอุทิศส่วนกุศลละครับ)


 Dani Pedrosa (Spain)
Team: Repsol Honda Team
Bike: Honda RC213V
ชายผู้มีร่างเล็กคนนี้ประสบความสำเร็จกับรุ่น 250 ซีซี แต่ยังไม่เคยได้แชมป์โลกในรุ่น MotoGP เลย แม้แต่ครั้งเดียว (แต่แชมป์สนามบ่อยครับ) ด้วยสถานะการณ์แบบนี้ ผมเชื่อว่าจะเป็นแรงผลักดันอย่างยิ่งให้ Pedrosa คว้าแชมป์ในปีนี้ให้ได้

Pedrosa ได้อันดับสองจากปีที่แล้ว ทั้งที่ได้แชมป์ถึง 7 จาก 18 สนาม แต่สนามต้นๆดันทำคะแนนหล่นไปหลายสนาม เพราะใน 7 สนามที่เป็นแชมป์นั้น เป็นสนามจากครึ่งฤดูกาลหลังถึง 6 สนาม

สไตล์การขับขี่ของ Pedrosa ยังเป็นแบบดุเด็ดเผ็ดมัน (รึเปล่า) ซึ่งหากต้องขี่โดยมีเขาคนนี้ตามหลังแล้ว คุณต้องเตรียมตัวที่จะถูกแซงได้ตลอดเวลา เขาเป็นคนมีลูกฮึดที่ดีมากครับ สามารถพลิกสถานการณ์จากผู้ตามมาเป็นผู้นำได้บ่อยๆ จุดอ่อนของ Pedrosa น่าจะอยู่ที่สนามเปียกครับ เพราะ ฝนตกทีไร หลุดโพเดียมทุกที (ยกเว้น Sepang ปีที่แล้วนะครับ เพราะต้องทำคะแนนไล่ให้ทัน Lorenzo เลยต้องถึงไหนถึงกัน)

Pedrosa เป็นแบบอย่างของสุภาพชนบนสองล้อครับ แกเป็นคนที่แข่งได้สุภาพมาก แซงได้อย่างสุภาพพอควร และไม่แซงในจังหวะน่ากลัว ไม่โกรธหรือแสดงอาการอะไรที่ก้าวร้าวออกมามากมาย ฤดุกาลที่แล้วที่ถูก Hector กวาดล้มไปในรอบแรกที่ San Marino แกก็ไม่ได้ไปด่าไปโวยวายเขาครับ ผมดูว่าแกเป็นคนเรียบร้อยเอามากๆ ประมาณว่าถ้าแกด่าใคร คนนั้นควรไปตายแล้วเกิดใหม่ได้เลยครับ

Pedrosa คงผูกพันกับ Lorenzo มากครับ เชื่อเลย ขนาดเจ้าอมยิ้มเจ็บ กระดูกไหปลาร้าซ้ายหัก เจ้าตัวไม่ยอมแพ้ "เอ็งหักข้าหักด้วย เอ็งไม่แข่ง ข้าไม่แข่งด้วย" การวินิจฉัยล่าสุดบ่งบอกว่า เขากระดูกร้าวครับ (Fractured Collabone) นี่ยังฝืนแข่งมาด้วยกันอีกนะเนี่ย รักกันจริ๊ง


Marc Marquez (Spain)
Team: Repsol Honda Team
Bike: Honda RC213V
อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือดาวรุ่งดวงใหม่เจ้าของแชมป์สนาม MotoGP ที่อายุน้อยที่สุด Marques ขยับมาจากรุ่น Moto2 เมื่อปีที่แล้วด้วยตำแหน่งแชมป์โลก  เด็กคนนี้ Rossi คอนเฟิร์มว่าคล้ายกับสไตล์เขามาก และนี่อาจเป็นจุดเริ่มของตำนานอีกคนก็เป็นได้ (ดีแล้วน้อง ได้ดีแล้วย้ายมา Yamaha นะ จะได้เหมือนรุ่นพี่ไง อิอิ)

Marquez ทำเวลาในรอบ FP QP ได้ค่อนข้างดี แต่บางสนามอาจพอใช้ เพราะแกยังต้องปรับตัวอีกพอสมควร แต่สำหรับการแข่งขันอาจจะต้องลุ้นบ้างในช่วงการออกสตาร์ท เพราะความตื่นเต้นอาจจะยังมีหลงเหลืออยู่ แต่ถึงกระนั้น ผมก็เชื่อว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีโอกาสสัมผัสแชมป์โลกพอๆกับ Pedrosa และ Lorenzo

Marquez ยังทำเวลาโดยเฉลี่ยได้ไม่เร็วนัก สไตล์การขับของเขา ยังแอบคล้ายกับของ Stoner ในช่วงที่ต้องตกไปอยู่ท้ายขบวน ซึ่งขี่กล้าได้กล้าเสียกว่า Pedrosa มาก แต่ถึงอย่างไรนั้นการขับในสนามช่วงนี้จะยังเป็นแบบขับตาม แล้วแอบแซงตอนท้ายอยู่ เพราะแกเคยบอกครับ ว่าแกต้องเรียนรู้ไลน์จากรุ่นพี่อีกพอสมควร ดีไม่ดีตอน Laguna Seca ที่ผ่านมาที่ออกตัวได้ไม่ดี อาจเป็นแผนของแกก็เป็นได้


Cal Clutchlow (United Kingdom)
Team: Yamaha Monster Tech 3 Team
Bike: Yamaha YZR-M1
อดีตแชมป์โลก World Super Sport 1 สมัย ทำผลงานในปีนี้ค่อนข้างน่าลุ้น หลังจากนำรถ YZR-M1 ทีมสนับสนุน เข้าฟัดกับ ทีมโรงงาน อย่างไม่เกรงกลัว การได้โพเดียมครั้งแรกในปีที่แล้วถือเป็นการเรียนรู้ ส่วนปีนี้ Clutchlow คงต้องทำเต็มที่เพื่อการก้าวไปสู่ทีมโรงงานในปีหน้า โดยมีทีม Yamaha Factory ยืนพื้นมาเป็นตัวเลือกแรกๆ (ถ้าไม่แคร์ความรู้สึก Rossi นะ)
    
Clutchlow เป็นนักแข่งที่ขับทำเวลาได้เร็วเป็นอันดับต้นๆ แต่ดันไม่สม่ำเสมอ เขาจึงทำเวลา QP ได้ดี แต่ในการแข่งยังถือว่าผีเข้าผีออก

เขามักมีอาการบาดเจ็บรบกวนเสมอ แต่บ่อยครั้งที่เจ็บแล้วดันขับดี ยกตัวอย่างสนาม Silverstone บ้านเกิดเขาปีที่แล้ว ล้มระหว่าง QP เลยได้ออกสตาร์ทลำดับที่ 20 สุดท้ายเข้า ที่ 6 เฉย ไม่เพียงเท่านั้น ปีนี้สนาม Le Mans ที่ผ่านมา เขาลงแข่งทั้งๆที่มีอาการเจ็บหัวเข่า จาการล้มในรอบ QP เช่นเคย แต่สุดท้ายได้อันดับ 2 อีกละ คราวหน้าถ้าผมได้มีโอกาสไปดูที่สนามแข่งจริงๆ ขอกระโดดถีบยอดอกพี่ก่อนแข่งทีนึง คงไม่ว่ากันนะครับ อิอิ

ทางด้านรถได้ข่าวว่า ถึงจะเป็นเพียงรถของทีมสนับสนุน แต่ความแรง ไม่ได้ด้อยไปกว่ารถทีมโรงงานของ Lorenzo เท่าใดนัก 
" Jorge สามารถชนะได้นะ ถ้าเขาต้องขี่รถของผม "
Clutchlow กล่าวกับนักข่าว เมื่อพูดถึงเรื่องสมรรถนะรถ M1 ของเขา ซึ่งจากการประเมิณพบว่า รถเขาโดยเฉลี่ยช้ากว่าเพียงแค่ 0.0XX วินาที ต่อรอบเท่านั้น เลยไม่น่าแปลกใจเลย ที่หนุ่มอังกฤษจะทำเวลาในรอบ FP และ QP ได้เร็วติด 1 ใน 4 บ่อยๆ และเร็วกว่าทีมสนับสนุนของ Honda ทั้งสองคือ Stefan Badl และ Alvaro Bautista อย่างชัดเจน

เรื่องอนาคตของเขา ล่าสุดทาง Lin Jarvis, Managing Derector ของ Yamaha Factory Racing กำลังหาทางออกเรื่องนี้ เนื่องจากการปล่อย Cal ไปทีมอื่น ก็อาจเป็นการสร้างคู่แข่งที่น่ากลัวในอนาคตได้ ปัจจุบัน Cal โอเคกับทีมงานและรถ M1 มาก ซึ่งเป็นอุปนิสัยปกติของอินดี้แมนอยู่แล้ว แต่เขาต้องการขยับไปสู่รถระดับทีมโรงงานเพื่อความก้าวหน้า อีกทั้งในปีหน้า Pol Espargarol นักบิด Moto2 จะมาขับแทนที่เขาที่นี่อีกด้วย โชคดีไอ้น้อง!


Valentino Rossi (Italy)
Team: Yamaha Factory Racing
Bike: Yamaha YZR-M1
ฉายา The Doctor  อดีตแชมป์โลก MotoGP 7 สมัย ผู้สร้างปรากฏการณ์แฟนคลับไว้ทั่วโลก บางทีการที่เขายังไม่รีไทร์ในเร็ววันนี้ก็อาจเพียงเพื่อให้แฟนๆได้ชื่นชมเขา ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
ตลอดการแข่งในรุ่นใหญ่ (ทั้ง 500 กับ MotoGP ) เขาสัมผัสความสำเร็จบนโพเดียมมากถึง 145 ครั้ง โดยมีสถิติที่น่าคนลุกดังนี้
>> อันดับ 1 : 80 ครั้ง
>> อันดับ 2 : 40 ครั้ง
>> อันดับ 3 : 25 ครั้ง
>> Pole Position: 49 ครั้ง
>> Fastest lap: 68 ครั้ง

เส้นทางบน MotoGP นี้ Rossi เริ่มขี่ให้กับ Honda รหัสความแรง NSR500 ในปีแรก ก่อนจะเป็นผู้บุกเบิกขับขี่ตัวแรงสายพันธ์ใหม่อย่าง RC211V จากทีมโรงงาน ซึ่งถือว่าเป็นบุญตรูดอย่างยิ่ง (ตอนนั้นเป็นเครื่อง V5 990cc แรงแบบฉุดไม่อยู่จริงๆครับ) หลังจากที่ได้แชมป์กับพี่ฮอน 3 สมัยติด เกิดความเบื่อหน่าย แกจึงย้ายมาซบค่ายซ่อมเสียงซึ่งเป็นคู่ปรับตัวฉกาจของค่ายปีกนกมาตลอด เพื่อประกาศให้ใครต่อใครรู้ (โดยเฉพาะพี่ Max Biaggi คู่ปรับ ที่แกขี่ M1 แต่บ่นถึง RCV แทบทุกวันในขณะนั้น) ว่าแกเป็นแชมป์ได้โดยไม่ง้อมอไซค์ บ๊ายบายพี่ฮอน และนี่คือจุดเริ่มต้นการพัฒนารถ YZR-M1 ให้เป็นฝันร้ายแก่ทีม Honda มาจนถึงปัจจุบันนี้ครับ (ถ้าแกไม่ย้ายวันนั้น ผมคิดว่า Honda จะได้แชมป์ติดๆกันไปอีกหลายปีแน่นอน)

และการตัดสินใจทุ่มเงินก้อนโตของแยม ก็เป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม   Yamaha กลับมาทวงบัลลังแชมป์คืนหลังจากห่างหายไปนานหลายปีได้สำเร็จ ผมจำได้สนามแรกที่มาขับ M1 แกได้แชมป์ครับ แต่แข่งเสร็จถึงขั้นต้องจอดพักเหนื่อยกันเลยทีเดียว ฝีมือจริงๆครับ Rossi มีส่วนต่อการพัฒนารถ M1 ให้สามารถฟัดกับ RCV ได้อย่างมากครับ เพราะตอนปีแรกก่อนแกย้ายมา แฟริ่งรถยังดูใหญ่ๆ อวบๆ ปุ๊กลุ๊ก โบราณๆ คล้ายๆรุ่น 2 จังหวะอยู่เลย (มิน่า พี่ Max บ่น) แต่พอแกมาปีแรก รถ M1 ก็ดูเล็กลง คล้ายๆกับ RCV ของ Honda ชัดเจน

สำหรับผม Rossi เป็นคนขับไม่เร็วมากครับ (แล้วได้แชมป์ได้ไงฟะ) แกเป็นแนวไหลๆเนิบๆ แต่แซงยาก ไลน์เนียบ ไม่หวือหวา ไม่ใส่สุดติ่ง เหมือน Kevin Schwantz แต่ถ้าใครพลาดปุ๊บแกเสียบเลย จริงๆผมว่าแกเป็นคนตลกนะ (เพิ่งรู้เหรอเจ๊) แกมีอารมณ์ขันแม้แต่อยู่ในสนามนะครับ เพราะการขี่แบบแผลงๆ ไล่แซงไปแซงมา รวมไปถึงการแซงในจังหวะคาดไม่ถึง เหมือนแกพยายามจะเรียกรอยยิ้มจากผู้ชมด้วยสิ่งเหล่านี้ครับ ผมดูว่าแกเป็นคนที่มีความสุขกับการได้แข่งรถเอามากๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ปัจจุบันแกมีแฟนคลัปทั่วโลกมากมายขนาดนี้

1 ความคิดเห็น: